[ How to ] 7 weeks Summer Course ที่ UK คนเดียวก็เฟี้ยวได้!!


          สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังค่า -/\- แปปเดียวก็หมดปีแล้วเนาะ วันนี้ก็เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ดีๆที่ได้จากปี 2017 ให้ฟังกัน ช่วงปิดเทอมใหญ่นี้เราได้ไปเรียน summer course ที่อังกฤษเป็นเวลา 7 weeks ( เรียน 5 เที่ยวอีก 2  ) เลยอยากมาเล่าให้ฟังว่ามันเป็นยังไง ไปคนเดียวเหงาไหม ที่นั่นอยู่ยากไหม อาจจะยาวซักนิดนึงนะ เป็นคนค่อนข้างเวิ่นเว้อหน่อยๆ (ล้อเล่นนะ 55555555) 

เรียนภาษาอังกฤษที่ UK ดีอย่างไร?


- ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าการไปครั้งนี้เราตัดสินใจเองล้วนๆ ด้วยความที่ว่าเราเป็นคนที่ชอบภาษา อยากพัฒนาภาษาอังกฤษให้ตัวเองมากขึ้น เนื่องจากช่วงปิดเทอมใหญ่ เราเรียนภาษาอังกฤษอยู่แล้วที่ ' British Council' ขอโฆษณานิดนึงว่า เรารู้สึกโอเคกับการเรียนที่นี่มากๆ เพราะเราว่าเราได้พูด เราได้คิด เราได้แสดงออกทางด้านภาษาอยู่พอสมควร เนื่องจากคอร์สที่เราเรียนเป็นแบบ Conversation ซึ่งอันนี้แน่นอนว่าได้ใช้ชัวร์ๆ เนาะ


และแล้ววันนึง British Council ก็ส่งอีเมลล์มาหาเราว่าจะมีงานการศึกษาที่ UK เอ้อ! น่าสนใจดีแฮะ ไปเรียนถึงที่มันต้องได้อะไรกลับมาบ้างละว่ะ อย่างน้อยในชีวิตเราก็ต้องมีอะไรเก่งซักอย่างแหละ 55555555 ไม่เก่งวิชาภาคเก่งภาษาเอาก็ได้วะ ! แล้วเราก็ไปดูงานมา และได้เจอกับ สถาบัน 'EC English'

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.ecenglish.com/
แต่งานนี้คือจะมีเอเจ้นต์ต่างๆมาออกบู๊ธ ซึ่งเอเจ้นต์ที่เราไปด้วยคือ Apex Education สำหรับเราพี่เขาดูแลเราดีมากๆ ตั้งแต่จัดการเรื่องเอกสารไปเรียน ติดต่อทาง EC ไปให้ ช่วยเรื่องเอกสารขอวีซ่า, ทำประกันการเดินทาง, ทำบัตร international student , จองตั๋วเครื่องบินและยังคอยถามเราเรื่องความพร้อม แนะนำการใช้ชีวิตอย่างดีเลย

ข้อดีที่เรียนที่นี่ก็คือ เราได้เรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง แน่นอนเราได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวันแน่ๆ ไม่ว่าจะพูดกับเพื่อน กับteacher ร้านอาหาร หรือเวลาเราไปซื้อของ เสมือนว่าเราเป็นคนในพื้นที่นั้นจริงๆ 555555 แถมได้เพื่อนต่างชาติหล่อๆ(?) อีกนะเออ !


ทำไมถึงเลือก EC English ? 


ก่อนอื่นเลยบู๊ธนี้น่าดึงดูดมาก ด้วยสีสันสีส้มสดใส 5555555555 ( ไม่ใช่ละ ) ตามงานออกบู๊ธก็จะต้องมีคนมาโฆษณาบู๊ธตัวเองแหละเนาะ เราเห็นว่าพี่เขาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาดี บรรยากาศที่เรียนก็ดูน่าเรียน ดูน่าสนุกดี แล้วเราก็ไปหารีวิวมาจากเน็ต เขาก็บอกว่าโอเคกัน เราก็เลยตัดสินใจเลือกที่นี่ไป ทีนี้เราก็จะสามารถเลือกเมืองและประเทศที่เราต้องการไปเรียนได้ ไม่ได้มีแค่อังกฤษนะเออ ! รายละเอียดก็ตามเว็บข้างบนเลยจ้าาา








รูปแบบการเรียนล่ะเป็นยังไง ?


การเรียนที่นี่จะแบ่งออกเป็นหลายคอร์สมีทั้ง General English , Intensive , Cambridge ( อันนี้เอาไว้สอบเข้าที่แคมบริดจ์นะ ได้ข่าวว่าโหดมากๆ) , one to one class ( เรียนแบบตัวต่อตัว)

โดยสิ่งที่เราเลือกคือ General English เรียน 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  ( วันละ 3 ชั่วโมง ) ด้วยความขี้เกียจของเราเอง 5555555555555

โดยห้องเรียนจะแบ่งเป็นสองกรุ๊ปคือ A และ B ( เราสามารถเลือกได้ )

 กรุ๊ป A จะเรียน 09.00-12.15 Mon,Wed,Fri 14.45-18.00 Tue,Thu
กรุ๊ป B จะเรียน  09.00-12.15 Tue,Thu         14.45-18.00  Mon,Wed,Fri
แน่นอนว่าเราเลือก A จะได้มีเวลาเที่ยวช่วงบ่าย 5555555555555
สำหรับ Intensive Course จะมีช่วงเวลาเรียนเพิ่มคือ 13.00-14.30 ของทุกวันเด้อ เราสามารถเลือกคลาสตามความสนใจเราได้ และสามารถเปลี่ยนได้ ( แอบสนใจอยากเรียนอันนี้แล้ว T.,T) ที่เรียนจะปิดทุก weekend นะเออ เหมือนเราเรียนโรงเรียนธรรมดาเนี่ยล่ะ !

โดยรูปแบบการสอนของเขาคือ สอนเป็นกลุ่ม กลุ่มเรียนละประมาณไม่เกิน 15 คน แล้วก็เรียนในหนังสือบ้างเรียนใน sheet ของเขาบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเน้นพูดนะ มีกิจกรรมให้ทำตลอด พูดแสดงความคิดเห็นกับเพื่อน พูดกับอาจารย์และพวก role play ต่างๆ (อันนี้สนุก เราชอบ 55555) แล้วที่สำคัญทุกสัปดาห์จะมีคาบนึงที่เขาพาไปเรียนที่ห้องคอม โดยมีแบบฝึกหัดให้ทำหรือจะดูหนังฟังเพลงก็ได้ (อันนี้เราทำประจำ เปิดยูทูปเลยจย้า ) อาจารย์ก็จะมีเรียกไปถามความรู้สึกสำหรับคลาสนี้ เป็นยังไง อยากเปลี่ยนคลาสมั้ย บลาๆๆ


บรรยากาศในห้องเรียนก็ชิวๆ teacher ใจดีมากๆ แกมีความ energetic ตลอดเวลา เฮๆฮาๆ ส่วนเพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็เฟรนลี่นะ ด้วยความที่แต่ละคนก็มาจากหลายเชื้อชาติ หลายๆประเทศ มาคนเดียวบ้าง มาเป็นกลุ่มบ้าง ทักทาย ยิ้มให้กันตลอด เราก็เลยตัดปัญหาเรื่องนี้ไป เราเชื่อว่าคนที่มาเรียนต่างประเทศในลักษณะนี้ก็คงอยากได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ


และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Level การเรียน ! ก่อนวันที่เราจะเริ่มเรียน สถาบันที่นี่เขาจะให้เราทดสอบระดับก่อน โดยทดสอบทั้งข้อเขียนแล้วข้อช้อยส์ หลังจากนั้นจะเรียกไปสัมภาษณ์ เพื่อดูระดับภาษาของเรา ( อันนี้เราคิดว่าพอวัดได้ระดับนึง ) แต่ถ้าเราคิดว่าเลเวลที่เราเรียนมันง่ายไป หรือเราต้องการจะทดสอบเพื่อไปเลเวลที่สูงขึ้น เราก็สามารถไปขอเขาลองสอบ move up level ได้นะ ( อันนี้เราก็ไปขอเขาเหมือนกัน )  ที่นี่จะใช้การวัดระดับภาษาแบบ CEFR  คิดว่าหลายคนคงคุ้นๆ บ้างแล้วโดยระดับมีดังนี้ A1,A2,B1,B2,C1,C2


กิจกรรม !? สำหรับสถาบันนี้ กิจกรรมมีแทบทุกวันเลย ! เราสามารถติดตามตารางกิจกรรมได้จากเฟสบุ้คของสถาบันเลย ช่วงวันธรรมดา ก็จะมีกิจกรรมช่วงพักเที่ยงหรือตอนเย็น  เช่น กิจกรรม Coffee and chat หรือ กิจกรรมรู้จักเพื่อนใหม่ ( มีกาแฟมีขนมให้กิน และมี topic ให้นั่งคุยกับเพื่อนใหม่ )  , เล่นเกม Fifa ( ที่นี่มีจอใหญ่ๆกะจอยให้เล่นนะเออ ) , กิจกรรมนอกสถานที่ เช่น ปิ๊กนิก ดูหนัง และที่ขาดไม่ได้คือ welcome drink ( อันนี้ 18+ เท่านั้นนะจ้ะ 555555555 ) มีเยอะมากๆเท่าที่เมืองนี้จะทำได้ ดูตามเฟสเลยนะเออ

ส่วนช่วงวันเสาร์ จะมีพาไปเที่ยวนอกสถานที่ทุกอาทิตย์เลย ส่วนใหญ่จะไปเมืองใกล้ๆที่เราเรียน
และวันอาทิตย์ จะมีกิจกรรมสำหรับนักเรียนใหม่คือพาไปทัวร์รอบเมือง

เลือกเมืองอะไรดีใน UK ?


เราเลือกเมือง Manchester เพราะ เราชอบเมืองที่สงบๆ ไม่วุ่นวายมาก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรเลย 55555555 ส่วนใหญ่คนที่เบือกเมืองนี้ก็จะเพราะฟุตบอล แต่สำหรับเราไม่ใช่นะเออ บอลก็ไม่ดู ดูแต่บอลไทย ถึงแม้จะดูก็กรี๊ดคนหล่ออย่างเดียว (?) และอีกอย่างนึงคือเรามีคนรู้จักอยู่ที่นี่ คงง่ายต่อการไปไหนมาไหน หรือเกิดอะไรขึ้น สำหรับเมืองนี้สิ่งที่เราคิดว่าดีคือ ไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่ ( ไม่นับเหตุระเบิดที่ Arena นะเออ ก่อนเราไปไม่ถึงอาทิตย์เอง T.,T ) การเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก ส่วนใหญ่เราจะเดินไปมากกว่านะด้วยอากาศที่เย็นๆ ไม่ร้อนมาก เดินสบายๆ นี่ขนาดช่วงซัมเม่อร์ยัง 15 16 องศา ส่วนถ้าจะไปรอบๆเมืองก็จะเดินทางด้วย Tram หรือรถราง เราว่ามันชิวมากๆเลย









ถ้าเราอยากจะแนะนำ ให้เลือกตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองชอบล่ะเนาะ

London - เมืองหลวง ก็สไตล์เมืองหลวงทุกๆประเทศน่ะแหละ 555555 ที่เที่ยวเยอะมาก ขณะเดียวกันคนก็เยอะมาก วุ่นวาย แต่ก็ทำให้ชีวิตไม่น่าเบื่อเลย ( ถ้ามีตัง เพราะค่าครองชีพแต่ละเมืองไม่เท่ากันนะเออ ) เน้นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่นี่จะเรียกว่า Underground ( บอกก่อนเลยว่าโคตรลึก เหมือนลงใต้ดินไปซักสิบชั้น ลึกจนสัญญาณโทรศัพท์ไปไม่ถึงอ่ะคิดดู 555555 )
Cambridge , Oxford - สไตล์เมืองการศึกษา เมืองนี้จะเป็นพวกสถาปัตยกรรม เมืองเก่าแต่โคตรรรสวยยยย
Liverpool - เมืองนี้ค่อนข้างคล้าย Manchester เป็นเมืองท่า เน้นการเดินเท้า หรือรถบัส เวลาจะไปไหนมาไหน
** ที่รีวิวมาเป็นเมืองหลักๆที่คนนิยมไปกันช่วงซัมเม่อร์คอร์ส**

ที่พักล่ะ Residence VS Host Family ?


คนตื่นสายอย่างเราก็คงเลือก Residence ( หอพัก ) อยู่แล้วแหละ 55555555 เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางมาเรียน + ความเป็นส่วนตัว อยากไปไหนมาไหนก็ได้ตามสบาย จากที่พักของเราสามารถเดินไปเรียนได้เลย ไม่จำเป็นจะต้องตื่นเช้ามาก อีกอย่างประหยัดค่าเดินทางได้ด้วย และหอพักเรามีอาหารเช้าให้กินทุกเช้าในวันธรรมดา มีห้องฟิตเนส มีห้องซักผ้าอบผ้า มีห้องอ่านหนังสือ หรือแม้แต่จะเป็นห้องดูหนังก็ยังมี หรูแค่ไหนถามใจเธอดู แต่ห้องอาจจะไม่กว้างมากเมื่อเทียบกับที่ไทย แต่ที่นี่เข้าจะเน้นความ comfortable and cozy นะจ้ะ เล็กกระทัดรัดใช้สอยได้มากมาย เพราะในตัวห้องเองมีครัว มีตู้อบ มีทุกอย่างให้หมด


ที่เราไม่เลือกอยู่กับโฮส์ตแฟมมิลี่ ก็เพราะบ้านในเมืองเราอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง เราเองก็ขี้เกียจตื่นเช้ามาเรียนอยู่แล้ว 55555555 แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ อยู่กับโฮส์ตสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลยล่ะ ! เพื่อนเราที่อยู่โฮส์ตบอกว่า โฮส์ตจะทำอาหารให้กินตอนเช้าและเย็น ค่าที่พักระหว่างหอกับโฮส์ตต่างกันอยู่พอสมควร หอค่อนข้างแพงกว่าอยู่มาก และอยู่กับโฮส์ตก็ไม่เหงาด้วย มีเพื่อนให้คุย โฮส์ตบางบ้านอาจจะพาเราไปเที่ยวด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะเจอโฮส์ตแบบไหนล่ะเนาะ


                                          ทางด้านหน้าที่พักของเรา โคตรหรูเลย เงินตรู TT !!




ห้องครัว โต๊ะนั่ง เตียงนอน ( ห้องน้ำไม่ได้ถ่ายมาเด้อ ) 







travelling ทั้งนอกเมืองและในเมืองล่ะ ? 


สำหรับในเมือง เราจะพูดถึงเมืองที่เราอยู่แล้วกันเนาะ Manchester หลักๆก็จะใช้ เดินทางเท้า , Bus และ tram ซึ่งบอกก่อนเลยว่าบัสค่อนข้างขึ้นยากนิดนึง เนื่องจากส่วนใหญ่จะไม่มีบอกสถานีที่จอด บางสถานีก็ไม่จอด แนะนำให้ดูกูเกิ้ลแม้พไป แล้วอย่าลืมกดกริ่งก่อนลงล่ะ ! ส่วน Tram ก็รถรางนั่งชิวๆ ช้ากว่ารถไฟ แต่จะเป็นขบวนสั้นๆกว่า   แต่ถ้าภายในเมือง จะใช้การเดิน เพราะสถานที่เที่ยวแต่ละที่ไม่ไกลกันมาก และประหยัดกว่าพวกบัสและแทรมมาก บัสเริ่มต้นราคา ( 1.6 GBP ขึ้นไป เป็นเงินไทยก็ประมาณ 75 บาทแล้ว )

Taxi - ที่นี่ราคาค่อนข้างสูง ราคาเริ่มต้นก็ประมาณสองปอนด์กว่าๆแล้ว จำได้ว่าเสียค่าแท็กซี่ไม่เคยต่ำกว่า 10 ปอนด์ T.,T นี่ถ้าเป็นบ้านเราคงระยะทางประมาณลาดกระบังยันศาลายา 55555555
National Rail - รถไฟทั่วประเทศของอังกฤษ อันนี้เอาไว้นั่งไปนอกเมือง หรือไปที่ไกลๆ โดยราคาก็แล้วแต่สถานที่ไป ไว้เราจะรีวิวเมืองที่เราไปเที่ยวมาช่วงเรียนกับค่ารถไฟอันแสนสุดโหด T.T



การเตรียมตัวและค่าใช้จ่ายต่างๆ ? 


ตั๋วเครื่องบิน - เราเลือกสายการบิน Qatar Airways เนื่องจากด้วยราคาที่พอรับได้ 555555 และเมืองที่เราไปไม่มีไฟล์ทตรงจ้า ต้องไปต่อเครื่อง โดยเราต่อเครื่องที่โดฮา โดยใช้เวลาทั้งหมดกว่าจะถึงที่นั่นรวมต่อเครื่องด้วยประมาณ 15 ชั่วโมง ( นอนอยู่เฉยๆก็เหนื่อยได้ )

อีกทางหนึ่งคือเลือก British airways ไปต่อเครื่องที่ลอนดอนก็ได้ค่ะ แต่เราคิดว่ามันนั่งนานไป เนื่องจากไฟล์ทจากกรุงเทพไปอังกฤษก็ปาไป 13-14 ชั่วโมงแล้ว
ราคาไป-กลับ ประมาณสองหมื่นกว่าๆค่ะ

เวลา - ที่อังกฤษถ้าเป็นฤดูหนาวจะช้ากว่าไทย 7 ชั่วโมง ถ้าเป็นฤดูร้อนจะช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง ( อย่าลืมเช็คช่วงเวลาก่อนเน้อ )


ภาษา - แน่นอนว่าเป็นภาษาอังกฤษ ! ชื่อประเทศก็บอกอยู่นะเออ 5555555 ( กวนตีนล่ะ ) แต่ !! สำเนียงแต่ละเมืองจะต่างกันเน้อ เหมือนบ้านเราล่ะ มีภาคกลาง ภาคเหนือ บ้านเขาก็มีนะ อย่างเราไปเมืองแมนเชสเต้อร์ เวลาออกเสียงคำบางคำก็จะต่างกันกับทางลอนดอน แต่ที่เราไปเที่ยวมา Liverpool ฟังยากสุดแล้ว T.T


อาหารการกิน - แน่นอนว่าอาหารประจำประเทศที่นี่คือ Fish & chips คือปลาทอดและมันฝรั่งนั่นเอง และยังขึ้นชื่อเรื่อง Tea มาอยู่นี่กินชาแทบจะทุกวัน 5555555 สำหรับเราอาหารที่นี่ค่อนข้างเลี่ยน ( อาจจะเป็นเพราะเราชอบอาหารที่มีรสชาติเผ็ดๆ ) แต่ก็ยังพอกินได้ สไตล์ที่นี่ก็จะเป็นตื่นเช้ามากินขนมปัง กาแฟ ชา ส่วนใหญ่มื้อหลักของเขาคือกลางวันและเย็น สังเกตจากร้านอาหารที่เปิดช่วง 11.00 เป็นส่วนใหญ่ ก่อนอื่น ค่าอาหารที่นี่ราคาค่อนข้างสูง ตกจานละประมาณ 150 บาทอัพ และอาหารในจานนึงค่อนข้างเยอะ ตามสไตล์อาหารยุโรป คิดว่าใครที่ชอบกินอาหารสไตล์นั้นก็อาจจะชอบ แต่สำหรับเรา ไปอยู่นู่นส่วนใหญ่ แม้ค เคเอฟซี เบอร์เกอร์คิงส์ ซูชิ ไม่ก็อาหารเวฟจากร้านสะดวกซื้อเอา


ปล.อันนี้แถมๆ ร้าน Burger and Lobsters ร้านดังของอังกฤษ ( ตอนนี้ที่ไทยก็มีแล้ว ) เนื้อลอบส์เตอร์ตัวใหญ่ๆ โคตรฟินนนน -////- แต่ก็ตามคุณภาพแหละเนาะ เซ็ตนึงก็ตกประมาณ 29-34 ปอนด์แล้ว กินทีมื้อต่อไปคือมาม่าไทยที่พกมาเลย 5555555







ร้านสะดวกซื้อ - ที่ UK ร้านหลักๆ ก็คือ Sainbury's เลยจ้า แต่ไม่ได้เปิดเหมือนเซเว่นนะ ! มีเวลาเปิดปิดนะเออ ดูดีๆ แต่ละร้านไม่เหมือนกัน บางร้านก็เปิดตั้งแต่ 06.00 - 23.00 เราชอบร้านนี้มากๆ อาหารเวฟก็มาจากที่นี่แหละ อาหารนานา สารพัด 55555555

อีกร้านก็คือ M & S ( Mark and Spencer ) ร้านนี้จะหรูกว่าร้านแรกขึ้นมาหน่อย เหมือนเป็นอาหารและของใช้ประเภทที่คัดมาแล้ว แต่อาหารที่นี่เป็นอะไรที่น่ากินเว่อร์ !


แต่ก็ไม่ใช้ว่าจะมีแต่ร้านแพงๆนะ ร้านถูกๆก็มี !!

pound land เลย ! ร้านทุกอย่างราคา 1 ปอนด์ ( แต่ก็มีราคาที่เกินนั้นนะ แต่เขาจะระบุไว้ ) ร้านนี้ขายทุกอย่าง สากกะเบือยันเรือรบ อารมณ์ไดโซะบ้านเรา

** แต่ก็ไม่ได้มีแค่นี้นะ ที่เหลือจำชื่อไม่ได้แล้ว 55555555 ส่วนใหญ่จะเป็นร้านสะดวกซื้อธรรมดา *


ค่าเรียน - แต่ละเมืองไม่เท่ากันอีกเช่นเคย เราจะเอาราคาที่เราไปเรียนมาแล้วกันเนาะ

อย่างของเราจะตกประมาณ £247.5 / week ( 10,910.95 บาท )โดยเราสามารถเช็คค่าใช้จ่ายแต่ละคอร์สได้ที่เว็บ ec ของแต่ละที่ได้เลยค่ะ
เช็คราคา : EC Manchester
มันแพงก็จริงแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เราได้ก็ถือว่าคุ้มนะ ( กระอักเลือด T.,T )

เงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน - ต้องถามตัวเองก่อนเลยว่า เราจะใช้เงินไปทำอะไรบ้าง กิน เที่ยว ช้อป ? สำหรับเราที่ไปคนเดียวเราเตรียมไป 1,500£  สำหรับเราเน้นทั้งสามอย่างแหละ 555555555 สิ่งที่เราช้อปเลยหลักๆก็คือรองเท้า เสื้อผ้า และหนังสือ ( ก็มันถูกกว่าไทยแหละเนาะ ) ส่วนเที่ยวก่อนที่พ่อแม่เราจะมาหา เราก็เที่ยวบริเวณรอบๆเมือง 


พาเที่ยวเมืองรอบๆ Manchester หน่อยสิ ?


เอาไว้เป็นข้อมูลละกันเนาะ เผื่อได้มา Manchester 5555555

แอ้พเดียวก็เที่ยวได้ แอ้พนี้เลย National Railway แอ้พบอกรอบรถไฟ ค่าใช้จ่าย รวมไปถึงจองรถไฟด้วย
แต่รถไฟเราแนะนำให้จองในเว็บเลย ใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร >> National Rail คลิกโลด
แต่ ! เราไม่ได้ไปคนเดียวนะเออ ชีวิตคนเดียวไม่เหงาแล้ว 555555555555
เราไปกับเพื่อนฮ่องกงจากที่เรียนด้วยกัน ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์คล้ายๆกันจึงได้บังเกิดที่แรก

Liverpool - ไปด้วยรถไฟใช้เวลาประมาณ 1 ชม. สำหรับเราเราก็ชอบเมืองนี้นะ ค่อนข้างสงบกว่าแมนเชสเตอร์ แต่เราว่าการเดินทางในเมืองค่อนข้างลำบาก หรืออาจจะเป็นเพราะเราไม่ใช่คนในพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ก็จะมี ท่าเรือและสนาม Anfield






York - เมืองนี้ก็นั่งรถไฟไปประมาณ 1 ชม. เช่นกัน เป็นเมืองเล็กๆ เมืองนี้จะเน้นความเป็นยุคเก่าๆ มีสถาปัตยกรรมสวยๆ งามๆ ก็ชิวๆไปอีกแบบ


                                                  ( อย่าสนใจพรีเซนเตอร์รูปนะ 555555555 )










Blackpool - เมืองนี้เราไปคนเดียว (แอบเหงา T^T) เนื่องมาจากเพื่อนเราป่วย เพื่อนเลยขอนอนอยู่หอ เมืองนี้เป็นเมืองติดทะเล ระยะทางพอๆกับมา Liverpool สำหรับเราถ้ามาเมืองนี้ที่น่าสนใจคือสวนสนุก แต่ก็มาคนเดียวแหละเนาะ เข้าไปก็ไม่คุ้ม เลยได้แต่เดินชิวๆริมทะเล






Leeds - เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆอีกเมืองหนึ่ง เพื่อนเราอยากมาเมืองนี้ ไหนๆเราก็ว่างแล้วเลยมาด้วยเลย สำหรับเรายังไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ 555555 ตอนเราไปที่เที่ยวก็ปิดปรับปรุงส่วนใหญ่ (ซวยเลย T..T) แต่ในเมืองเราชอบนะ อารมณ์คล้ายๆ Liverpool ร้านค้า ของช้อป




London - อันนี้ไม่ได้ใกล้แมนเชสเตอร์เลยนะ 55555555 ค่อนข้างข้ามภาคเลยล่ะ เรานั่งรถไฟความเร็วสูงของ virgin train ไป ( ถ้าไม่จองล่วงหน้าบอกเลยราคาเท่าตัว ) แนะนำว่าควรไปค้าง เพราะแค่นั่งรถไฟไปก็สองชม. กว่าแล้ว อันนี้เราไปเที่ยวกับเพื่อนในคณะ ที่มาเรียนที่อังกฤษเหมือนกัน












** คำแนะนำ ควรจองตั๋วรถไฟล่วงหน้า ถ้าหากรู้เวลาช่วงที่จะไป เนื่องจากจะได้ราคาที่ถูกกว่ามาก โดยเฉพาะ virgin train เราจองไปด้วยราคา 22 ปอนด์ แต่พอวันที่เราจะไปเราไปเปิดดูราคา 82 ปอนด์เลย**


ไหนเล่าประสบการณ์ซิ เจออะไรมาบ้าง ? 


สำหรับการมาเรียนของเราทั้ง 5 weeks ( เที่ยวอีก 2 weeks ) ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตเลย เนื่องจากครั้งนี้เรามาคนเดียว มาห่างไกลจากบ้าน จากพ่อแม่ ต้องช่วยเหลือตัวเองเป็หลัก ต้องมาอยู่คนเดียว ทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมใหม่หมด จากครั้งนี้สอนให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สอนการอยู่คนเดียวให้เป็น ไปไหนมาไหนคนเดียว มันก็ให้อีกฟีลหนึ่งที่ว่าอิสระดี และด้วยเวลาที่ต่างจากไทยถึง 6 ชั่วโมงทำให้คุยกับใครหลายๆคนน้อยลงอีกด้วย กว่าเราจะตื่นเขาก็เย็น กว่าเราจะนอนเขาก็เวลาเกือบเช้าแล้ว เหงาอยู่เหมือนกันนะ T.,T แต่พอเริ่มปรับตัวได้ เริ่มรู้จักเพื่อนในคลาสมากขึ้น เริ่มใช้ชีวิตกับการไปเที่ยวกับเพื่อนต่างชาติ ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งเลย ถือว่าท้าทายมากๆ ส่วนเรื่องภาษาอาจจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ถือว่าสื่อสารเข้าใจ เราว่ามันโอเคแล้ว เราว่าการอยู่มาเรื่อยๆมันจะทำให้เราชินกับสำเนียง เพราะเราได้ใช้ภาษาในการพูดทุกๆวัน คุยกับเพื่อน คุยกับใครหลายๆคน จากที่เรียนครั้งนี้เราได้รู้จักเพื่อนหลายๆชาติมาก ถึงแม้วัฒนธรรมเรากับเขาอาจจะไม่เหมือนกัน อย่างเช่น มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนคนบราซิล เวลาทักทายกันเขาจะหอมแก้มกัน เขามาทักทายเรานี่เหวอไปเลย แต่เขาก็ sorry ทีหลังนะ 5555555 เราก็แบบเอองงดี แต่เขาก็เข้าใจวัฒนธรรมของเราแหละ


เรื่องเพื่อน เราเชื่อว่าทุกคนพร้อมจะทำความรู้จักกับคนใหม่ๆอยู่แล้วล่ะ นั่นก็ทำให้เราต้องเข้าหาเพื่อนทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ในคลาสของเราก็จะเป็นกันเองมาก มาถึงวันแรกเราก็มาพร้อมกับเพื่อนกรุ๊ปใหม่ เขาก็จะมีกิจกรรมให้เราได้รู้จักคนใหม่ๆ เราได้คุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้ เป็นคนสเปน ฮ่องกง เยอรมัน และตุรกี แต่รุ่นก็จะต่างกันไป แต่เวลาเรียกเราก็ friend หมดนะ ไม่ได้มาเรียกพี่เรียกน้องอะไรทั้งสิ้น 55555555 พูดแล้วก็นึกถึงพี่คนสเปนเลย นางเทคแคร์เราดีมากเหมือนพี่สาวน่ารักๆคนนึง คอยชวนเราไปดูหนัง เคยมีครั้งนึงไปปาร์ตี้ด้วยกันนางก็กลับพร้อมเรา ( อยู่หอเดียวกัน ) นางคอยถามเราตลอดว่าอยากกลับยังๆ แต่นางมาอยู่แค่สองอาทิตย์เอง T..T ตอนวันกลับนางก็เอาของทั้งหมดที่นางคิดว่าเราได้ใช้ต่อ เอาขนม เอาของกินมาให้เราด้วย ฮือ คิดถึงเลย (  แต่จริงๆนางทำงานแล้วนะ )

รุ่นน้องคนเยอรมัน นางน่ารักใสๆดี ชอบชวนเราเที่ยวตลอด แต่เวลาคุยอาจจะงงๆไปบ้าง อาจจะเพราะสำเนียงนางด้วยแหละ
รุ่นพี่คนตุรกี ( ถือว่าเป็นรุ่นแม่ก็ว่าได้ นางมีลูกแล้วนะเออ ) เราชอบคุยกับนางนะ โดยเฉพาะเรื่องในคลาส วันไหนเราไม่โอเคเราก็จะบ่นๆให้นางฟัง นางก็มานั่งเม้าท์กับเรา
รุ่นพี่คนฮ่องกง คนนี้แหละที่เราสนิทสุด อยู่ด้วยกันบ่อยสุด ด้วยความที่เราชอบเที่ยวเหมือนๆกัน ทำให้เราได้ไปด้วยกันหลายทริป ไม่ว่าจะนอกเมืองหรือในเมือง หรือตะลุยร้านของกินอร่อยๆ และที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงคือ ช้อปปิ้ง !! เลิกเรียนเมื่อไหร่เข้าเมืองเลยจย้า
หลังจากเราย้ายคลาสก็จะเจอเพื่อนอีกกรุ๊ปนึง ก็จะเป็นกรุ๊ปเอเชีย และ ประเทศกลุ่มตะวันออก
ผช. กลุ่มนี้เป็นคนที่เฮฮามากนะ นึกถึงตอนทำงานกลุ่มด้วยกัน เวลาพรีเซ้นต์โคตรมันส์ 5555
โดยปกติเราก็จะนั่งเรียนข้างๆเพื่อนคนเกาหลีคนนึง เราชอบนางนะ นางดูรั่วๆ เฮฮา น่ารักดี เคยเม้าท์จนโดนteacher หันหลับมามอง ฮ่าๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เจอคนไทยนะ ที่เราเรียนมีคนไทยอยู่แค่สามคน ! เราก็ได้คุยบ้าง ตอนเราเรียนคลาสเดียวกับรุ่นน้องคนไทย แต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ให้ประเทศเดียวกันนั่งใกล้กัน เพื่อประสิทธิภาพในการเรียนแหละ

เราอยากจะบอกทุกคนว่า ตอนแรกเราเองก็กลัวหลายๆเรื่อง ทั้งเพื่อน ทั้งภาษา ทั้งการอยู่ เออ ไปอยู่คนเดียวจะอยู่ได้มั้ย ไกลขนาดนี้ไม่มีใครดูแลเลย เราเชื่อว่าวันแรกยังไม่มีใครปรับตัวได้หรอก เราค่อยๆปรับตัวไปเรื่อยๆ เพราะเราเชื่อว่าไม่ว่าจะเราหรือหลายๆคนที่มาครั้งแรกก็จะรู้สึกแบบนี้ เรื่องภาษา teacher ที่สอนใจดีมาก จริงๆ เราว่านะ คนที่นี่เขาไม่ได้เน้นแกรมม่าเท่าไหร่ เราคิดว่าการสื่อสาร เรารู้เรื่อง เขารู้เรื่อง สามารถโต้ตอบกันได้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วแหละ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวเอง แล้วจะพบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ :)






และก่อนจบทริปไม่ลืมที่จะแวะสนาม Old Trafford มาถึงบ้านเขาทั้งทีเนาะ 



จะมีคนอ่านจบมั้ยเนี่ย T_T ก่อนอื่น ขอโทษที่เวิ่นเว้อมากไปหน่อย เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์เนาะ -/\-  ไปค่ะ ! เก็บกระเอ๋าไปเรียนยูเคกัน เราอยากไปอีกนะ แต่ไปครั้งเดียวตังค์หมดแล้ว 5555555555


สุดท้ายนี้อยากขอบคุณ Apex Education ที่ให้โอกาสดีๆสำหรับเราครั้งนี้ด้วยนะคะ ><

ปล. ส่วนเวลาในช่วง 7 weeks ที่ผ่านมาเราไปไหนมาบ้างไว้จะมารีวิวให้ฟังนะ รอขยันๆก่อน 555555555

Comments

Popular posts from this blog

รีวิว series เกาหลี 2014-2015

{ Tips } How to get good score in TOEIC Exam ! + แจกข้อสอบชุดปราบเซียน :)

รีวิวซีรี่ย์เกาหลีปี 2015